การวัด Carbon Footprint สามารถทำได้โดยใช้อุปกรณ์ Multi Power Transducer จาก MG ประเทศญี่ปุ่น

แนวคิดและวิธีการ
Carbon Footprint (คาร์บอนฟุตพริ้นท์) หมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์หรือองค์กร โดยวัดในหน่วยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) ซึ่งรวมถึงก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เช่น มีเทน (CH₄) และไนตรัสออกไซด์ (N₂O) ที่มีศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเภทของ Carbon Footprint ตัวนี้วัดได้จากการใช้พลังงานไฟฟ้า
Carbon Footprint ส่วนบุคคล (Individual Carbon Footprint) วัดจากการใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ไฟฟ้า การเดินทาง การบริโภคอาหาร และการซื้อสินค้าและบริการ ตัวอย่าง: การขับรถยนต์ การใช้เครื่องปรับอากาศ การบริโภคเนื้อสัตว์
Carbon Footprint ขององค์กร (Organizational Carbon Footprint)
วัดจากการดำเนินงานขององค์กร เช่น การใช้พลังงานในสำนักงาน การขนส่ง การผลิต และห่วงโซ่อุปทาน
แบ่งออกเป็น 3 ขอบเขต (Scopes) ตามมาตรฐาน GHG Protocol:
Scope 1: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากแหล่งที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือควบคุม เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงาน
Scope 2: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้ไฟฟ้า ความร้อน หรือไอน้ำ
Scope 3: การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ ทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การขนส่งวัตถุดิบ การเดินทางของพนักงาน และการจัดการขยะ
Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ (Product Carbon Footprint)
วัดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment - LCA) ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัด
วิธีการวัด Carbon Footprint
1. การเก็บข้อมูล (Data Collection)
ข้อมูลกิจกรรม (Activity Data): ปริมาณกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) หรือปริมาณน้ำมันที่ใช้ (ลิตร)
ปัจจัยการปล่อย (Emission Factors): ค่าสัมประสิทธิ์ที่ใช้แปลงข้อมูลกิจกรรมเป็นปริมาณก๊าซเรือนกระจก เช่น ปริมาณ CO₂ ที่ปล่อยต่อหน่วยไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิง
2. การคำนวณ (Calculation)
ใช้สูตรพื้นฐาน:
ปริมาณก๊าซเรือนกระจก
=
ข้อมูลกิจกรรม
×
ปัจจัยการปล่อย
ปริมาณก๊าซเรือนกระจก=ข้อมูลกิจกรรม×ปัจจัยการปล่อย
ตัวอย่าง: การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากการใช้ไฟฟ้า
คาร์บอนฟุตพริ้นท์
=
ปริมาณไฟฟ้า (kWh)
×
ปัจจัยการปล่อยไฟฟ้า (kg CO₂e/kWh)
คาร์บอนฟุตพริ้นท์=ปริมาณไฟฟ้า (kWh)×ปัจจัยการปล่อยไฟฟ้า (kg CO₂e/kWh)
3. การใช้เครื่องมือและซอฟต์แวร์
เครื่องมือออนไลน์: เช่น Carbon Footprint Calculator สำหรับบุคคลทั่วไป
ซอฟต์แวร์เฉพาะทาง: เช่น SimaPro, GaBi สำหรับองค์กรและผลิตภัณฑ์
มาตรฐานสากล: เช่น GHG Protocol, ISO 14064
ประโยชน์ของการวัด Carbon Footprint
การระบุแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก: ช่วยให้ทราบว่ากิจกรรมใดมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
การวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: นำข้อมูลไปใช้ในการกำหนดเป้าหมายและมาตรการลดคาร์บอน
การสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กร
การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน: เช่น การรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตามข้อกำหนดของรัฐบาลหรือตลาดคาร์บอน
ตัวอย่างการวัด Carbon Footprint ในชีวิตประจำวัน
การเดินทาง: การขับรถยนต์ 1 กิโลเมตร ปล่อย CO₂ ประมาณ 0.12 กิโลกรัม
การบริโภคอาหาร: การผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัม ปล่อย CO₂ ประมาณ 27 กิโลกรัม
การใช้ไฟฟ้า: การใช้ไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ปล่อย CO₂ ประมาณ 0.5 กิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงาน)
สรุป
การวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นขั้นตอนสำคัญในการเข้าใจและจัดการกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์และองค์กร ด้วยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและการคำนวณที่ถูกต้อง เราสามารถระบุแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกและวางแผนลดการปล่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเราในระยะยาว
สนใจสอบถามรายละเอียดหรือต้องการสอบถามข้อมูลสินค้า,อุปกรณ์เครื่องมือวัดและควบคุมโรงงาน
เบอร์โทร 02-116-9855
Email info@eda.co.th
Line ID @EDAgroups